Last updated: 26 ธ.ค. 2567 | 12 จำนวนผู้เข้าชม |
การวัดระยะด้วยกล้องประมวลผลรวมหรือกล้องสำรวจ (Total Station) สามารถทำได้ทั้งแบบ ใช้เป้าปริซึม (Prism) และ ไม่ใช้เป้าปริซึม (Non-Prism) ซึ่งทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ดังนี้:
1. การวัดแบบใช้เป้าปริซึม (Prism Measurement)
หลักการทำงาน
ใช้เป้าปริซึมเป็นตัวสะท้อนแสงที่ยิงจากกล้องไปยังเป้า
ลำแสงจะสะท้อนกลับมายังกล้องเพื่อคำนวณระยะทางอย่างแม่นยำ
ข้อดี
1. ความแม่นยำสูง
การสะท้อนแสงผ่านปริซึมช่วยลดการกระจายตัวของลำแสง ทำให้ค่าที่ได้มีความแม่นยำมากกว่า
2. วัดระยะทางไกลได้
สามารถวัดระยะทางได้ไกลถึงหลายกิโลเมตร ขึ้นอยู่กับความสามารถของกล้องและสภาพแวดล้อม
3. ใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
เช่น ในพื้นที่ที่มีแสงน้อย ฝุ่น หรืออุปสรรคอื่น ๆ
ข้อจำกัด
1. ต้องการบุคคลเพิ่มเติม
ต้องมีผู้ช่วยถือเป้าปริซึมในตำแหน่งที่ต้องการวัด
2. การพกพาอุปกรณ์เพิ่มเติม
ต้องมีเป้าปริซึม ขาตั้ง และอุปกรณ์เสริม
3. การวัดแบบไม่ใช้เป้าปริซึม (Non-Prism Measurement)
หลักการทำงาน
กล้องจะยิงลำแสงเลเซอร์ไปยังวัตถุโดยตรงและคำนวณระยะทางจากการสะท้อนกลับของลำแสง
ข้อดี
1. สะดวกและรวดเร็ว
ไม่ต้องใช้เป้าปริซึมหรือผู้ช่วย ทำให้สามารถทำงานคนเดียวได้
2. เหมาะสำหรับพื้นที่เข้าถึงยาก
เช่น วัดระยะไปยังวัตถุที่อยู่ในจุดอันตรายหรือไกลเกินกว่าจะวางปริซึมได้
3. ลดภาระการพกพาอุปกรณ์
ไม่ต้องพกเป้าปริซึมเพิ่มเติม
ข้อจำกัด
1. ความแม่นยำต่ำกว่าแบบใช้ปริซึม
อาจมีข้อผิดพลาดเมื่อยิงเลเซอร์ไปยังพื้นผิวที่ไม่เรียบหรือสะท้อนแสงได้ไม่ดี
2. ระยะทางที่วัดได้จำกัด
ระยะที่วัดได้มักสั้นกว่า (ปกติไม่เกิน 800–1,000 เมตร ขึ้นอยู่กับรุ่น)
3. สภาพพื้นผิวมีผลต่อการวัด
หากพื้นผิวของวัตถุไม่สะท้อนแสง เช่น วัสดุสีเข้มหรือพื้นผิวขรุขระ อาจทำให้ค่าวัดผิดเพี้ยน
เปรียบเทียบโดยรวม
ควรเลือกใช้งานแบบใด?
ใช้เป้าปริซึม
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การวางผังที่ดิน การสร้างอาคาร หรือโครงการที่ต้องการวัดระยะไกล
ไม่ใช้เป้าปริซึม
เหมาะสำหรับงานสำรวจที่ต้องการความสะดวก เช่น การวัดระยะในพื้นที่เข้าถึงยาก หรืองานที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก